"อยากไปเที่ยว" "อยากโบกรถ" คำพูดประมาณนี้เอ่ยออกมาจากปากของน้องคนหนึ่งที่ชื่อพงษ์ เมื่อปี 2553
ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน พวกเราว่างเว้นกันจากค่ายอาสา "ซัมเมอร์" แล้ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงไม่มีอะไรทำ ตัวผมเองตอนนั้นเรียนจบใหม่ๆ ยังไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนพงษ์นั้นรอการเปิดเทอมของปีการศึกษาใหม่ ความว่างทำให้เราอยากออกผจญภัย ด้วยการโบกรถซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดสำหรับเด็กค่ายอาสาฯทุกคน
เมื่อมีข้อเสนอ ผมก็รับสนอง และมาสรุปกันว่าอยากจะไปไหนกันดี ก่อนจะได้คำตอบว่า "ปราสาทหินพนมรุ้ง" ที่ๆเราเคยได้ยินแต่ชื่อ และเคยเห็นแต่ภาพ หลังจากนั้นก็ชักชวนเพื่อนร่วมชะตากรรม มาได้ 1 ราย คือ โส ซึ่งก็เป็นรุ่นน้องในชมรมอาสาฯ อีกเช่นกัน ซึ่งเรา 3 คน คุ้นเคยกันดี ตัวผมเองเคยโบกรถไปดินแดนอีสานมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วน พงษ์ และโส นั้นเป็นครั้งแรก ที่จะได้โบกไกลขนาดนี้
การเดินทางเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม จุดสตาร์ทคือหน้ามหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก เราได้รถกระบะทอดสั้นๆ มาสู่สี่แยกอินโดจีน ในราวตอนเที่ยง ก่อนจะได้รถบรรทุกหกล้อบรรทุกขนมคันหนึ่งรับเรา เป็นทอดการเดินทางที่ยาวทีเดียวหล่ะ
อันที่จริงปกติเราจะไม่เลือกขึ้นไปกับรถบรรทุกแบบนี้ แต่เพราะนี่เป็นเวลาที่สายมากแล้ว กลัวไปไม่ถึงที่หมาย จึงต้องเลือกสนองน้ำใจที่พี่เขาจอดรับ ซึ่งพี่เขาก็คือบุคคลที่พาเราเดินทางไกลที่สุดในทริปนี้ คือ 3 จังหวัด แต่จำได้ไม่ชัดแล้วว่าพาเราไปถึงที่ไหน หากไม่ผิดน่าจะจอดส่งเราที่อำเภอพล ขอนแก่น โดยเราได้โบกต่อคันอื่นอีก 1 ทอดมาจนพลบค่ำที่อำเภอด่านขุนทด นครราชสีมา
ก่อนเดินทางผมได้พูดคุยกับ ตุ้ย สาวน้อยอีกคนจากชมรมข้าวเหนียวปั้นน้อย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่รู้จักกันผ่านการออกค่าย ซึ่งตุ้ยเองมีบ้านอยู่อำเภอปักธงชัย นครราชสีมา ไม่ไกลจากพนมรุ้งมากนัก จึงได้รับการชักชวนว่าคืนนั้นจะนอนที่บ้านตุ้ย 1 คืนค่อยมุ่งหน้าสู่พนมรุ้งก็แล้วกัน
รถทอดสุดท้ายจากด่านขุนทด จอดส่งเราที่สถานีขนส่งนครราชสีมา เนื่องจากตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่มถือว่ามืดแล้ว เราจึงตัดสินใจควักเงินเป็นครั้งแรกนั่งรถโดยสาร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังปักธงชัย โดยมีตุ้ยและมิตรสหายขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมารับที่ปากทางเข้าไปสู่บ้านของตุ้ย อันที่จริงรถโดยสารจอดเลยพิกัดที่เราบอกไปเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรก็เดินย้อนกลับเอา
เช้ามา หลังทานอาหารฝีมือแม่ของตุ้ยเรียบร้อยและนอนอย่างเต็มอิ่ม ตุ้ยพาเราออกมายังถนน เพื่อใช้วิธีเดิม "ทางเดียวกันไปด้วยกัน" เราจะโบกรถต่อไปยังปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนตุ้ยนั้นไม่ได้มาด้วยเนื่องจากบังเอิญต้องรีบเดินทางไปมหาวิทยาลัย
เราใช้เวลาไม่นานผู้ร่วมทางใจดีก็พาเรามาถึงปราสาทหินอันตระหง่านอยู่บนเขากระโดง เราเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้มาเยือนของวันนั้น เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่มีทั้งเดินทางกันมาด้วยตัวเอง และโดยทริปกลุ่มทัวร์
เรา 3 คนเดินสำรวจชมความอัศจรรย์ของพนมรุ้ง ในซอกมุมต่างๆ รวมถึงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่โด่งดัง จากนั้นก็หาข้าวปลาอาหารการกิน นั่งพูดคุยผ่อนคลาย อยู่ในเขตพื้นที่นี้ราว 2-3 ชั่วโมง เป็นอันจบความตั้งใจในการเดินทางครั้งนี้
(เป็นที่น่าเสียดายที่ภาพที่เราถ่ายไว้จากการเที่ยวที่นี่ ไม่มีเหลือเลยแม้แต่ไฟล์เดียวเนื่องจากความผิดพลาดในการย้ายไฟล์ออกจากไดรว์ เพื่อสำรองที่ว่างไว้ให้ทริปอุบลราชธานี และทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับพนมรุ้งของหายไปเยอะพอสมควร)
แต่ภารกิจนั้นยังไม่หมด เมื่อตุ้ย ได้ชวนเราไว้ก่อนแยกทางให้ไปเที่ยวที่อุบลราชธานี และเราก็ไม่ลังเลที่จะรับคำ โดยนั่งรถไฟฟรีจากสถานีแห่งหนึ่งของแถบพนมรุ้ง(ลืมชื่อสถานีแห่งนี้)มายังสถานีสุรินทร์ ราวๆ 4-5 ทุ่ม เราลงพักยืดเส้นยืดสายรอต่อขวนใหม่ที่นี่เนื่องจากขบวนฟรีที่เรานั่งมาจากบุรีรัมย์นั้นเป็นขบวนสั้นๆ(โดยทั่วไปเรียกว่ารถท้องถิ่น)
จากนั้นเมื่อถึงเวลาเราก็ต่อรถไฟทอดสุดท้ายมายังวารินชำราบ อันเป็นจุดปลายสุดของรถไฟสายอีสาน และนี่ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้นั่งรถไฟมาอุบลราชธานีอีกครั้ง(ครั้งแรกนั้นนั่งขบวนยาวจากกรุงเทพฯ ถึงวารินชำราบ) ทันทีถึงที่หมาย ตุ้ย พร้อมเพื่อนคือ เป๊ก ธง ก็ขับรถมอเตอร์ไซค์มารับเรา ไปยังหอพักด้านข้างมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
บริเวณหอของตุ้ยและสหาย ซึ่งเป็นบ้านทรงสามเหลี่ยม เหมือนรีสอร์ทน้อยๆ กลางทุ่งนา
ขอบคุณภาพพนมรุ้งจาก www.tatnews.org


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น